เทศน์พระ

เด็ดดี

๒ พ.ค. ๒๕๕๔

 

เด็ดดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

มาเคาะสนิมนะ เราจะมาเคาะสนิมกัน เวลาเราอยู่คุ้นชินกับสิ่งใด พอคุ้นชินแล้วมันจะชินชา พอความชินชาเราไม่ตื่นตัว คำว่าตื่นตัวนะ เวลาเราเกิดมา เวลาเราประสบความทุกข์ยาก เราเห็นว่าชีวิตนี้มันมีความอับจน

แต่เวลาเรามีความศรัทธาความเชื่อ เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้าเราจะมองเห็นช่องทางของการประพฤติปฏิบัติ เวลาเราเห็นเห็นไหม เห็นว่าครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เราก็อยากมีมรรคมีผลอย่างนั้น ถ้าเราจะอยากจะมีมรรคมีผล นึกถึงวันบวช เวลาเราบวชขึ้นมาเราคิดเลยว่า เราจะหาช่องทางออกให้ได้ ถ้าเราจะหาช่องทางออกให้ได้นะ เราต้องมีความที่ละเอียดรอบคอบเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

ขนาดเรารอบคอบนะ เราอยู่กับครูบาอาจารย์เวลาท่านบอกนะ “เวลาปาติโมกข์มันยังมีหนังสือให้ท่อง ท่านยังท่องไม่ได้ แล้วหัวใจมันเป็นนามธรรม ท่านจะไปทำอย่างไร” เวลาท่านพูดอย่างนั้นปั๊บนี่ เราต้องมีความขยันหมั่นเพียรเลย เวลาเราสวดมนต์สวดพร ว่าเราก็จำไม่ได้ สิ่งใดเราก็ทำไม่ได้ พอทำไม่ได้เราก็ทำไม่ได้ตลอดไปเห็นไหม

แต่ถ้าเราทำได้ล่ะ เราขยันหมั่นเพียรของเรา มันเป็นสมบัติของเรานะ ดูสิ เราดื่มน้ำ เรากินอาหาร อยู่ในท้องของเรามันก็เป็นสมบัติของเรา แต่มันก็ไปถ่ายออกหมดนะ ดื่มน้ำเข้าไปก็ปัสสาวะออก กินเข้าไปมันก็ไปถ่ายออกหมด การถ่ายออกมันเป็นความหมุนเวียน ความรู้สึกอันนั้นต่างหากล่ะเห็นไหม เราเคยดื่มน้ำที่ไหน เราหิวกระหายมามากสุดแสนเข็ญ แล้วมีคนเอาน้ำมาให้เราดื่ม เราจะรู้สึกถึงบุญคุณเขาไหม

เวลาดื่มน้ำแล้วน้ำนั้นเราก็ถ่ายออกไป แต่บุญคุณของเขาที่เขาให้เราได้ดื่มน้ำ ให้เราได้พ้นจากความกระหาย มันเป็นความทุกข์อันหนึ่งเห็นไหม แล้วเราได้รับความจุนเจือจากเขา แต่เรื่องวัตถุ เรื่องน้ำ เรื่องอาหาร มันก็ผ่านไปเท่านั้นนะ แต่บุญคุณการกระทำอันนั้น

นี่หัวใจเราก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราๆ หมั่นเก็บหอมรอมริบของเรา มันเป็นหยาดเหงื่อแรงงานทั้งนั้นนะ ทำอะไรก็เหงื่อไหลไคลย้อยทั้งนั้นนะ แต่การกระทำอันนั้นมันเป็นความฝังใจว่าเราได้ทำสิ่งนี้แล้ว สิ่งนี้เราได้กระทำแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นบุญกุศลของเรา มันเกิดขึ้นจากการเสียสละของเรา ใครจะมาใช้สอยสิ่งใดก็เพื่อประโยชน์กับเขา เขาก็ได้อาศัยของเขา

เวลาเขาสร้างวัดสร้างวาขึ้นมา ภิกษุจากจตุรทิศ ที่ไม่ได้มาขอให้ได้มา ที่มาแล้วขอให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข แล้วมันเป็นสุขจริงไหมล่ะ? ที่อยู่แล้วมันให้ความร่มเย็นเป็นสุข ทำไมมันไม่ร่มเย็นเป็นสุขล่ะ ไม่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะมันมีการขัดแย้งกันไปไง เพราะมันเป็นความเด็ดเดี่ยว เด็ดเดี่ยวมันต้องเด็ดดี ถ้าเด็ดชั่ว ดูเด็ดชั่วคนเขาทำความชั่วกันนะ เขาต้องมีความเด็ดขาดไหม

ดูสิ เขาทำสงครามกันเขาต้องวางแผนกัน เขาต้องลึกลับซับซ้อนของเขา มีทั้งทางเปิดเผย มีทั้งทางลับ นี่ไงความเด็ดขาด เด็ดขาดมันต้องเด็ดดี ถ้าเด็ดดีเห็นไหม เราทำของเรา ขยันหมั่นเพียรของเรา

ดูเขาก่อเจดีย์ทรายสิเห็นไหม เวลาเขาก่อขึ้นมาชั่วเทศกาลเสร็จแล้วมันก็ย่อยสลายไป เจดีย์ทรายอยู่ริมทะเล ถึงเวลาแล้วทะเลมันพัดมามันก็หมดไป ทำไมเขาต้องทำเจดีย์ทรายล่ะ ถ้ามันทำเป็นวัตถุมันไม่มีที่เก็บนะ ดูคนมันกี่พันล้าน ทุกคนก็อยากทำคุณงามความดีเป็นวัตถุทั้งหมด แล้วมันจะไปซ้อนกันที่ไหนล่ะ

ในปัจจุบันนี้คนมาหาเยอะมาก “อยากสร้างพระประธาน อยากสร้างพระประธาน” ใครก็อยากสร้างพระประธาน กูไม่ได้บอกให้มึงสร้างโบสถ์ให้กูมั่งเหรอ มันไม่มีที่ตั้งไง ใครก็อยากสร้างพระประธานนะ บอกว่าสร้างพระประธาน ทุกคนโหมกันเลยอยากสร้างพระประธาน แต่เวลาสร้างพระที่ใจมันไม่สร้างกัน สร้างคุณงามความดีที่เป็นนามธรรมไม่เคยคิดกัน

สิ่งที่เป็นคุณงามความดีอันนี้ต่างหากล่ะมันจะเป็นความดีกับเรา ความเด็ดขาดมันต้องมีศีลธรรม ความเด็ดขาดเห็นไหม ดูสิ ความขยันหมั่นเพียร เด็ดขาดๆ ก็อยู่ในร่องในรอยสิ ถ้าความเด็ดดีเห็นไหม เด็ดขาดแล้วมันดีด้วย

ครูบาอาจารย์ของเราเวลาทุกข์ยาก เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จนก้นแตก ดูหลวงปู่สิงห์ทองสิ เดินจนเป็นร่องไปหมดเลย นั่นนะเขาเด็ดของเขา แต่เขาเด็ดเพื่อตัวของเขา เขาเด็ดของเขา เขาอยู่ทางจงกรมของเขา เขาบังคับใจของเขา ความเด็ดขาดอย่างนี้ไงที่เอาใจเราไว้ในอำนาจของเราให้ได้

แต่ความเด็ดขาดของเรา เด็ดขาดเรื่องอะไร? เด็ดขาดเรื่องอารมณ์ความรู้สึก เที่ยวไปขัดแย้งกับคนอื่น แล้วก็ไปปิดกั้นเขา ไปทำลายเขา มันจะไปเด็ดขาดตรงไหน เด็ดขาดอย่างนี้มันเด็ดขาดชั่ว เด็ดขาดทำลายตัวเอง มันทำลายตัวเองเพราะอะไร เพราะพอมันทำสิ่งใดไปก็แล้วแต่นะ ความลับไม่มีในโลก สิ่งใดทำแล้วมันเป็นกรรมทั้งนั้นนะ พอความเป็นกรรมแล้ว ปากต่อปากมันว่ากันไปนะ คนทำคุณงามความดีเห็นไหม บารมีธรรม

หลวงตาท่านพูดอยู่ ท่านทำตั้งแต่ท่านเป็นเด็ก ชื่อเสียงหลวงปู่มั่นขจรกระจายทั่วประเทศ ชื่อเสียงหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านทำความดีของท่าน อยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านออกไปเมืองก็มาจำพรรษาวัดสระปทุมเท่านั้นนะ ท่านมาค้นคว้าทางปริยัติ นี่ไงเวลาปฏิบัติแล้วก็มาค้นคว้าทางปริยัติ มีที่ปรึกษา ผู้ปรึกษาก็คือเจ้าคุณอุบาลี นี่ไงจำพรรษาอยู่ที่วัดสระปทุม ๒ ปี นอกนั้นอยู่ในป่าหมด อยู่ในป่าในเขาท่านทำของท่าน ทำไมชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วประเทศล่ะ นี่ความเด็ดขาด เด็ดที่ดี ความเด็ดขาดเอาตัวเองให้ได้ ความเด็ดขาดอย่างนี้บังคับตัวเอง คนอื่นไม่เกี่ยว อยู่ในหมู่คณะกัน เราก็หาทางหลบหลีกเท่านั้นนะ ความเด็ดขาดในทางที่ดี

แต่ถ้าเด็ดขาดในทางที่ชั่ว ทุกที่มันก็มี ไม่ใช่พระ โลกเขาก็เป็นอย่างนั้นไปหมดแล้วล่ะ ดูสิ แก๊งสเตอร์มันก็ว่าเด็ดขาดยกพวกยิงกันอยู่ตลอด เด็ดขาดมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เด็ดขาดสร้างแต่เวรแต่กรรม เอาปืนมายิงกันใครก็ยิงได้ มันจะขี้ขลาดขนาดไหน ตาขาวขนาดไหน เอาปืนมาหลับหูหลับตายิงก็ยิงออกไปได้ มันเป็นเรื่องโลกๆ แต่เราไปติดความคิดของตัวเอง ไปติดศักดิ์ศรี ต้องมีศักดิ์ศรี ต้องมีการยอมรับ ต้องอะไร เป็นไปไม่ได้หรอก! ศักดิ์ศรีๆ มันมีประโยชน์ที่ไหน

นี่ดูสิ โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “ธรรมะเก่าแก่ ถ้าใครโดนแรงเสียดสีจากสังคมรุนแรงขนาดไหน อย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจ ให้ดูเราเป็นตถาคตเป็นตัวอย่าง เราตถาคตโดนโลกธรรมรุนแรงที่สุด”

เขาจ้างคนมาด่า ไปอยู่ไหนเขาจ้างคนมาตลอดเลย เพราะอะไร เพราะมันไปจบที่ใครไม่ได้ใช่ไหม มันต้องมาจบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้เผยแผ่ธรรมะขึ้นมา ทุกคนก็ต้องมาล้มที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโดนโลกธรรมรุนแรงขนาดไหน

จะรุนแรงขนาดไหน ถ้าโดยทางโลกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีฤทธิ์ ทำไมแสดงยมกปาฏิหาริย์ ทำอะไรก็ทำได้ แล้วทำไมคนแค่นี้จะทำอะไรไม่ได้ แต่ท่านไม่ทำ! เพราะอะไร เพราะคนๆ นั้นมันมืดบอดไปด้วยอวิชชา เพราะเขามีอวิชชา เขาไม่รู้ตัวของเขา เขาทำด้วยความรู้ของเขา เราทำอะไรไปมันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์ขึ้นมาเลย

แต่ถ้าเป็นบันลือสีหนาทนะ ใช้คุณธรรม ใช้คุณงามความดี เปิดหูเปิดตาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำตรงนี้ ทำตรงที่เขามืดบอดให้เขาสว่างมา เขามืดบอดให้เขาเข้าใจทิฐิมานะ ให้มันพลิกแพลงมา ถ้าพลิกแพลงมาแล้วเขาจะเสียใจของเขาเอง เขารู้เองว่าอะไรผิดอะไรถูก

แต่พูดถึงเขาจ้างคนมาด่าจ้างคนมาทำร้าย แล้วไปทำร้ายเขา เพราะเขามืดบอดมา เขาได้อามิสสินจ้างมา เขาไม่รู้สิ่งใดเป็นความผิดความถูกเลย แล้วเราไปทำลายเขาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทำ ทั้งๆ ที่มีฤทธิ์มีเดชทำได้ทั้งนั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มีฤทธิ์มาก แต่ทำไปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นมา มันเกิดแต่เวรแต่กรรม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้ที่สิ้นเวรสิ้นกรรม แล้วจะไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไร สร้างแต่คุณงามความดี เด็ดขาดในทางที่ดี ดีมากๆ

ในสมัยพุทธกาลเขาก็มี ถ้าเราโดนโลกธรรมเสียดสีแล้วไม่ต้องไปอุทธรณ์ฎีกากับใครเลย มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราทั้งนั้น ไม่ต้องอุทธรณ์ฎีกากับใคร มันเรื่องของเขา เราทำคุณงามความดีของเราไป แต่ถึงเวลาแล้วโลกมันเปิดเผยขึ้นมาเอง ความลับไม่มีในโลก

แต่ที่มันเด็ดขาดในทางชั่ว มันพยายามจะปิดไว้ไม่ให้ใครรับรู้ แต่ข้างนอกเขาร่ำลือกันมหาศาล! โลกเขาส่งข่าวกันไปถึงดาวอังคารโน่นนะ เรายังคิดว่าเป็นความลับอยู่เลย

แต่ถ้ามันเป็นคุณงามความดีล่ะ เราจะปิดขนาดไหนทั้งความดีและความชั่ว ปิดไม่อยู่! ปิดไม่ได้! โลกไม่มีความลับหรอก ถ้าเป็นความชั่ว เด็ดขาดทางชั่วมันก็ชั่วไปวันยังค่ำ ถ้าเด็ดขาดไปทางดี ทำอย่างไรมันก็ดี เขาจะประณามว่าชั่ว ใครจะประณามรุนแรงขนาดไหน มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเป็นความชั่ว เป็นไปไม่ได้!

เด็ดขาดในทางที่ดี เราต้องทำคุณงามความดีของเรา เพื่อความเด็ดขาดของเรา เด็ดขาดของเราก็เพื่อประโยชน์ของเราไง มันทุกข์ไหม? ทุกข์ มันเป็นความรับผิดชอบ เราลำบากลำบนไหม? เราลำบาก

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ดูสิ เวรัญชพราหมณ์ที่นิมนต์ไว้แล้วลืมใส่บาตร ดูสิ หมู่คณะทั้งหมดนะ จนพระโมคคัลลานะทนไม่ไหวจะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่งเห็นไหม มันทุกข์ไหม? ก็เขานิมนต์ไว้แล้วเขาลืม เขาลืมแล้วเขาไม่มาสนใจเลย

พระโมคคัลลานะไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ว่าจะจับมือต่อๆ กันไป “พระสงฆ์ทั้งหมด ข้าพเจ้าจะพาเหาะไปบิณฑบาตอีกทวีปหนึ่ง”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ยอม ก็แค่เขาลืม! ทำไมสัทธิวิหาริกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย เป็นพัน! ทำไมพระทั้งเป็นพันเลยต้องมาทุกข์ยากกับไอ้คนที่นิมนต์ไว้แล้วมาลืมอยู่คำเดียว

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่จัดการล่ะ เฉย... “ทนเอา พวกเธอทนเอา” จนออกพรรษาเห็นไหม “พวกเธอชนะแล้ว ชนะแล้ว” ชนะตนเองไง ดูสิเขานิมนต์มาแล้วเขาลืม เขาไม่ใส่บาตร เขาไม่ดูแลเลย แล้วต้องทุกข์ๆ ยากๆ นะ เพราะมันไม่มีข้าวจะกิน ไปบิณฑบาตที่ไหนก็ไม่ได้

จนพ่อค้าม้าต่างเขามา เขาถามว่า “เขาให้ม้าได้วันละ ๑ ทะนาน เขาก็ให้พระวันละ ๑ ทะนาน” พระได้ข้าวกล้องนั้นมา ภิกษุทำอาหารให้สุกเองไม่ได้เป็นอาบัติปาจิตตีย์เห็นไหม พระอานนท์เอาข้าวนั้นมาแล้วมาบดให้มันเป็นแป้ง แล้วเอาน้ำพรมๆ นำไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาเขาบดข้าวเห็นไหม เราได้ข้าวมาเพราะเราทำให้สุกเองไม่ได้ อาหารเราทำให้สุกเองไม่ได้ แต่เราอุ่นได้ เวลาเราบิณฑบาตมาเห็นไหม ทำแกงโฮ๊ะอยู่ในป่าเห็นไหม เอามากองๆ กัน แล้วก็ต้มน้ำนั่นนะ นั่นเพราะอาหารมันสุกมาแล้ว

ภิกษุทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ นี่ไง ดูสิ แค่พราหมณ์นิมนต์มาแล้วลืม พอออกพรรษาแล้วเราก็จะไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะวิเวกต่อไป แล้วพราหมณ์นึกได้ แต่ ๓ เดือนนึกไม่ได้ เพราะมารดลใจไว้ พอวันสุดท้ายพราหมณ์จำได้ มาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนิมนต์พระทั้งหมดเข้าไปฉัน

เพราะว่าการปกครองในแว่นแคว้นนั้นมันมีทั้งกษัตริย์และพราหมณ์ กษัตริย์เป็นผู้ปกครองก็มี นี้พราหมณ์เป็นผู้ปกครอง เขาว่าเขาเป็นกษัตริย์ไง เขาปกครองทั้งหมด พอเขานิมนต์ไปจำพรรษาแล้วเขาลืมใส่บาตร แล้วเกิดทุกข์เภทภัย เกิดข้าวยากหมากแพง บิณฑบาตก็ลำบาก ทุกอย่างลำบากไปหมดเลย

ทำไมท่านทนของท่านล่ะ? ทั้งๆ ก็แค่หนึ่งคำนิมนต์ของเขาคือสัญญา สัญญาระหว่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพราหมณ์นั้น กิจนิมนต์คือสัญญากันระหว่างคน ๒ คน แต่พระเป็นพันต้องทุกข์ต้องยากไปด้วย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทนเอา พอออกพรรษาแล้ว “เธอชนะแล้ว เธอชนะแล้ว” ชนะอะไร? ชนะความอดทนนั่นไง ชนะความบากบั่นอันนั้นไง

นี่ไงเราต้องมีคุณงามความดีของเรา เราต้องบากบั่นของเรา เวลามันบากบั่น มันบากบั่นเพื่ออะไรล่ะ? มันชำระกิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนะ ทุกคนอยากจะทุกข์ไหม? ไม่อยากจะทุกข์หรอก แต่ไม่อยากทุกข์มันก็ไม่ได้สุข ไม่อยากทุกข์ไม่อยากมีการกระทำ สิ่งที่การชำระกิเลสมันเกิดขึ้นมาไม่ได้

การเกิดชำระกิเลสมันด้วยมรรคญาณ มรรคญาณคืออะไร? ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเราก็ต้องมี เพราะความมีศีลเป็นความปกติของใจ เราไม่ยอกย้อน ไม่พูดกลับหน้ากลับหลัง วกไปวนมา เวลาเป็นผู้มีศีล ไอ้พวกเลี่ยงบาลีเห็นไหม เวลาพระพูด ทั้งหลบหน้าหลบหลัง พูดกลับไปกลับมา

ถ้าอย่างนั้นมันจะปกครองกันอย่างไร ถ้าอย่างนั้นใครจะเชื่อถือ ความเชื่อถือไม่มีจะไปเทศนาว่าการอะไร ความจะเทศนาว่าการมันต้องมีความเชื่อถือนะ ถ้าไม่มีความเชื่อถือเทศน์ไปใครจะฟัง เพราะอะไร เพราะเขาไม่ต้องฟังเราเทศน์ก็ได้ เขาฟังวิทยุก็ได้ วิทยุเดี๋ยวนี้ออกดีๆ ทั้งนั้นเลย

แต่ถ้าเป็นความเชื่อถือ เขาอยากฟัง เขาอยากได้คติของเขา เพื่อประโยชน์ของเขาเห็นไหม ดูสิ ดูอย่างที่ว่าใบลานเปล่า ใบลานเปล่า เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โปฐิละ ใบลานเปล่า ใบลานเปล่ามาแล้วหรือ ใบลานเปล่าไปแล้วหรือ”

ทั้งๆ ที่ความรู้ท่วมหัวนะ เพราะอะไร ความรู้ท่วมหัวเพราะปริยัติรู้หมด เข้าใจได้หมด สั่งสอนมีลูกศิษย์ลูกหา ๕๐๐ เหมือนกัน ได้ทำคุณประโยชน์มาก ก็เสียใจนะ เวลาไปทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้เกียรติเราเลย เพราะอะไร เพราะลูกศิษย์ลูกหาก็เยอะ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เกียรติเลย บอกว่า “ใบลานเปล่า ใบลานเปล่า” ผู้ที่เปล่าประโยชน์ไม่มีสิ่งใดเลย แต่พอมีสติ พอได้สติทิ้งเลยนะ ทิ้งทิฐิมานะอันนี้

พอทิ้งทิฐิมานะนี้ก็ไปหาสำนักปฏิบัติ เห็นไหม ในสำนักปฏิบัติมีแต่พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ตั้งแต่เจ้าอาวาสยันสามเณรน้อย ไปหาเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสบอกว่า “สอนไม่ได้หรอก”

สอนไม่ได้เพราะอะไร เพราะท่านมีชื่อเสียงมาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก พระปฏิบัติเราอยู่ในป่าในเขามีอยู่ ๙ องค์ หรือ ๗ องค์ เป็นพระอรหันต์หมดเลย พอไปขอให้เจ้าอาวาสเป็นผู้สั่งสอน เจ้าอาวาสบอกว่า “อู๊ย จะไปสั่งสอนได้อย่างไร”

เพราะว่าโปฐิละนี้มีชื่อเสียงมาก แล้วมีลูกศิษย์ตั้ง ๕๐๐ คนนับหน้าถือตา ไอ้เรานี้ไม่มีใครรู้จักนะ คงไม่มีวาสนาหรอก แบบว่าปฏิเสธไป แล้วก็เป็นองค์ต่อไป องค์รองไปเห็นไหม ตั้งแต่องค์แรกจนถึงสามเณรน้อยเป็นพระอรหันต์หมดเลย เพราะเป็นพระอรหันต์ เขาอ่อนน้อมถ่อมตน! เขาไม่มีอีโก้! เขาไม่อวดตัว! เขาอ่อนน้อมถ่อมตน ดูสิ คนที่มีชื่อเสียงศักยภาพในทางโลก โปฐิละคนนับหน้าถือตาทั้งแผ่นดินนะ ทำไมต้องละทิฐิมาฟังสามเณรน้อยล่ะ

เพราะเขาไม่มีทิฐิมานะในใจเขาเห็นไหม ถ้าอย่างนั้น “อ้าว สามเณรน้อยลองดู อาจจะมีโอกาสนะ อาจจะมีโอกาส”

“เราจะเอาไม้ เราจะเอาน้ำ ให้ห่มผ้าลงไปเอา”

ถ้ามันมีทิฐิอยู่มันจะฟังธรรมอย่างไร มีทิฐิอยู่จิตมันจะลงได้อย่างไร ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านลงหลวงปู่มั่น ลงทั้งหัวใจ พอลงทั้งหัวใจมันลงหมดเลย พอลงหมดเลยนะจะเป็นอย่างไรลงทั้งนั้น

ถ้ามันลงหัวใจมันก็เปิดฟัง แต่มันไม่ลงทั้งหัวใจไง หัวใจมันไม่ลง ดูสิ ไปอยู่กับหลวงปู่มั่นมหาศาลเลย ไปจดจารึกกันมา หลวงปู่มั่นเทศน์อย่างนั้น หลวงปู่มั่นสอนอย่างนั้น แล้วเอ็งได้อะไร? หลวงปู่มั่นสอน! แต่หัวใจมึงมีอะไร! หัวใจมึงน่ะ! หลวงปู่มั่นสอนแล้วมึงได้อะไร นี่ไง จดมาหลวงปู่มั่นสอนๆ แต่หัวใจไม่ได้อะไรเลย

นี่ไง มันไม่ลงไง มันไม่ลงใจเห็นไหม ดูหลวงตาท่านบอก “ท่านลงทั้งหัวใจ” การลงหัวใจเห็นไหม มันก็เหมือนเราเคารพพ่อแม่ พ่อแม่เรานะเรายังมีการขัดอกขัดใจนะ พ่อแม่เราทำอะไรอาจจะขัดอกขัดใจเราบ้าง

ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เวลาท่านทำอะไรขึ้นมาเห็นไหม จิตใจเราเป็นอย่างไร ถ้ามันลงใจนะ มันเคารพบูชา จริตนิสัยมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านแสดงออกมา ท่านทำมานะ มันมีลับลมคมในในนั้น มันมีเหตุมีผลที่จะเตือนเราอยู่

ถ้าเตือนเราอยู่เห็นไหม เพราะอะไร เพราะกิเลสมันแสบสัน แสบทรวงนักกับใจทุกๆ ดวงใจ มันจะไม่ยอมรับฟังใครหรอก! นี่ดูสิ อีกามันอยู่บนภูเขาทองเห็นไหม มันเกาะภูเขาทองมันก็ว่ามันเป็นทอง

นี่เราอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์มีชื่อเสียง เราก็มีชื่อเสียง ครูบาอาจารย์รู้อะไร เราก็รู้ไอ้นั่นน่ะ โธ่ ตำราเล่มเดียวกันพระไตรปิฎกใครก็เปิดได้ ครูบาอาจารย์ท่านก็พูดตามพระไตรปิฎกเราก็รู้

นั่นไง มันเกิดทิฐิมานะเห็นไหม แต่ครูอาจารย์ท่านพูด มันอะไรนั่น มันอะไร ถ้ามันอะไรขึ้นมา มันจะแก้ไขตรงนี้ นี่ใจมันเริ่มเปิด ถ้าใจมันไม่เปิดธรรมะเข้าไม่ได้หรอก มาถึงก็ปิดกั้นมาเต็มที่เลย นี่อีกากับภูเขาทอง ภูเขาทองก็เป็นภูเขาทอง เราก็เป็นอีกา กา..กา..อยู่อย่างนั้นนะ

สิ่งนี้ใจมันไม่ลง ถ้าใจมันลงนะ อะไรก็ได้ ครูบาอาจารย์สิ่งใดก็ได้ ความเห็นความต่างๆ นี้มันก็เป็นจริตนิสัย แต่ครูบาอาจารย์ท่านสะอาดบริสุทธิ์ ท่านออกมาด้วยใจมันสะอาดบริสุทธิ์ คำว่าสะอาดบริสุทธิ์ไม่ฆ่าแกงใครหรอก

เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น มีชื่อเสียงมหาศาลคับแผ่นดิน แล้วว่าดุไหม? ดุ..ดุมาก หลวงตาท่านบอกเลย ท่านฟันธงในหัวใจนะ “หลวงปู่มั่นท่านจะดุหรือไม่ดุ ท่านต้องมีเหตุมีผล พระอรหันต์จะฆ่าคนเป็นไปไม่ได้” พระอรหันต์จะทำร้าย ทำเป็นอกุศล เป็นความผิดพลาด ไม่มี! เป็นไปไม่ได้หรอก

เพียงแต่พวกเรานี้มันปีนต้นไม้ไม่ขึ้น มันฟังไม่ได้ หัวใจมันไม่รับรู้ ถ้าหัวใจมันรับรู้ พอไปกราบแล้วมันซาบซึ้งใจมาก ซาบซึ้งใจว่ามันมีเหตุมีผลของมันไง มันสะเทือนหัวใจของเราไง ถ้ามันสะเทือนหัวใจของเรามันสะเทือนกิเลสไง

แต่นี่กิเลสมันไม่เคยสะเทือนเลย ไปปกป้องมันไว้ ไปปกป้องมันไว้แล้วว่าฉันรู้ อีกาภูเขาทองไว้ ฉันก็ทองนะ มันปกป้องไว้ ตัวมันดำเมี่ยมแต่มันไม่ได้ดู ถ้ามันดูขึ้นมาเห็นไหม มันลงใจ

เรานะ..ทุกคนเกิดมามันมีกิเลสทั้งนั้นนะ คนเกิดมาก็คนมีกิเลสทั้งนั้น มันก็เหมือนอีกาดำๆ มาทั้งนั้นนะ อีกามันจะดำขนาดไหนนะ ถ้าอีกามันก็เป็นอีกา นี่มันเป็นบุคลาธิษฐานนะ อีกามันก็เป็นอีกา มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันก็จะเป็นอีกาตลอดไป

แต่ถ้าหัวใจของเรามันดำมืดขนาดไหน มีอวิชชามานี่ มันดัดแปลงแก้ไขได้นะ ถ้ามันดัดแปลงแก้ไขได้เห็นไหม มันดัดแปลงแก้ไขของมัน ถ้ามันจะดัดแปลงแก้ไข มันเปิดใจไง ถ้ามันเปิดใจขึ้นมาอีโก้นั้นมันไม่มีนะ ถ้ามันไม่มีมันเป็นพี่เป็นน้องนะ เป็นสหธรรมมิก เป็นหมู่เป็นคณะ เราอยู่ด้วยกัน

ความผิดพลาดทุกคนมีทั้งนั้นนะ ถ้าจะจับผิดกันก็ผิดทั้งนั้นนะ จะจับผิดมันก็ผิดทุกคนนะ แล้วสิ่งที่ผิดก็คือผิดใช่ไหม แต่ผิดหนึ่งแล้วเราจะแก้ไขไหม ผิดแล้วมันไม่ควรทำอีกนะ ก็รู้ว่าผิด เหล็กมันร้อนๆ ใครจะไปจับมันล่ะ จับมันก็ร้อนทั้งนั้นล่ะ มือไม้พองไปหมดนะ

แต่นี่มันก็ผิดซ้ำผิดซาก มันก็จับเหล็กแล้วจับเหล็กอีก มันก็จับอยู่อย่างนั้นนะ แล้วเมื่อไหร่มึงจะรู้สักทีว่าเหล็กมันร้อน มือมึงไม่มีแล้ว มือมันเป็นมือนะ แต่นี่การกระทำมันเป็นกรรม มันมองไม่เห็นไง แต่มันก็ทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำทำซาก แล้วมึงจะแก้ไขอย่างไรล่ะ

นี่ไงใจไม่ลง ถ้าใจมันลงมันซาบซึ้งนะ นี่ดูสิ เวลาธรรมสะเทือนใจเราๆ ซาบซึ้งไหม มันต้องซาบซึ้ง มันต้องเด็ดขาดสิ เด็ดขาดเอาหัวใจเราให้ได้ ความเด็ดขาดเป็นทางที่ดีนะ สิ่งที่ดีสิ่งนี้นะ ภพชาตินี้สั้นไป กาลเวลาที่ได้มาคือชีวิตที่เสียไป อายุ ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ อายุที่ได้มามันหมดไปแล้ว หมดไปแล้วๆ นี้ ไม่เกิน ๑๐๐ ปีตายห่าหมด แล้วเวลาตายไปแล้วมีอะไรติดมือมา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราจะแก้ไข สิ่งที่เราจะดัดแปลง เราจะมีอายุขัยไปข้างหน้า เราจะแก่ไปข้างหน้า แล้วปัญญาของเรา การกระทำของเราล่ะ ความเด็ดขาด...ความเด็ดขาดต้องเอาใจเราให้อยู่สิ ความเด็ดขาดทางจงกรมกูจะไม่ออก จะกี่วันกี่คืนกูจะอยู่กับมึง มึงจะทุกข์ยากแค่ไหน แล้วมันมีแค่ไหน ไม่ให้กินให้อยู่ มึงจะเป็นอย่างไร ทรมานมัน

นี่เรานักปฏิบัตินะ พระปฏิบัติเขาทำกันอย่างนี้นะ แล้วเราก็มามีความจริงใจมีความมุ่งมั่นต่อกัน แล้วมันเป็นอะไรกันอยู่ มันเป็นอะไร ทำไมมันอ่อนด้อยกันไปหมดเลย ทำไมมันไหลไปตามโลกหมดเลย เห็นเขาทำก็จะทำ

ไอ้นั่นมันขนนกนะ ดูสิ เวลาหมวกเขาจะประดับขนนก มันเป็นวัตถุ มันเป็นสิ่งที่ประดับเกียรติเหรอ เราอยู่อาศัยเท่านั้นนะ พระกรรมฐานเราอยู่โคนไม้ อยู่กับสิ่งที่ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม มันเป็นอย่างไร? มันยิ่งมีเกียรตินะ ถ้าใจเป็นธรรมมันจะมีเกียรติมาก เพราะเราอยู่ป่า

ดูสิ เวลาธรรมวินัยบอกว่าพระในวัดควรทำสิ่งใดบ้างเห็นไหม ต้องทำวัตร ต้องทำกิจของสงฆ์ แล้วถ้าพูดถึงพระป่า พระป่าไม่ต้องพูดถึงเลยต้องยิ่งกว่า มันต้องยิ่งกว่า คำว่ายิ่งกว่า ยิ่งกว่าอย่างไร

นี่ไง ดูสิ เขาอยู่ในวัดในวากันเขาต้องมีกฎกติกาของเขา เวลาเราอยู่ป่าอยู่เขาของเรา กฎกติกาของเราก็รักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเรา นี่ไง มหาวิทยาลัยป่า จิตใจที่อยู่กับป่าอยู่กับเขามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันตั้งตัวของมันขึ้นมา มันมีคุณธรรมของมันขึ้นมานะ แต่เพราะจิตใจเรามันว่างเปล่า มันไปมองสิ่งต่างๆ นั้นเป็นศักยภาพ

โลกเขามีของเขา เราจะไปแข่งกับเขาทำไม เราเสียสละโลกมาแล้ว เราเสียสละโลกนะ ถ้าเราเป็นคฤหัสถ์เราจะทำสิ่งใด เราจะทำได้มากกว่านั้นก็ได้ จะจรวดดาวเทียมขนาดไหนเราก็ไปได้ ถ้ามีเงินเดี๋ยวนี้เราซื้อตั๋วไปเที่ยวอวกาศกันนะ เดี๋ยวนี้เศรษฐีเขาไปเที่ยวอวกาศกันแล้ว

ฉะนั้นเรื่องโลกๆ แค่นี้ ทำไมเราต้องไปวอรี่ ไปกระเพื่อมกับเขา เรามาอยู่กับเขาชั่วคราว เรามาอยู่กับโลกเพื่อจะดัดแปลงจิตใจของเรา เราจะทิ้งโลกนี้ไป ดูสิ เวลาจรวดเขายิงออกจากฐานที่ตั้งของมันไป มันออกไปจากที่ไหนล่ะ จิตใจของเรามันก็เป็นโลก ถ้าจิตใจของเรา เราจะยิงหัวใจของเรา เราจะสร้างสมศีล สมาธิ ปัญญา ของเรา ให้หัวใจของเรามันถีบออกไปจากวัฏฏะ ถีบออกไปจากโลก มันเป็นความมหัศจรรย์ขนาดไหน

ถ้าเป็นความมหัศจรรย์ขนาดนั้น แล้วทำไมไอ้แค่แรงเสียดสีของโลกที่เขามาเยาะเย้ยถากถาง เราจะต้องไปแคร์เขาทำไม เขาจะดูถูกเหยียดหยามขนาดไหน เราบิณฑบาตเราทำหน้าที่ของเรา ถ้าวันหนึ่งเขาสำนึก วันหนึ่งเขาเห็นความจริงของเราขึ้นมา เขาเองเขาจะเสียใจ เขาจะมาขอขมาไม่ขอขมามันเรื่องของเขา เขารู้ตัวของเขา ทุกคนรู้ทั้งนั้น ดีชั่วทุกคนรู้หมด ความดีทุกคนก็ปรารถนา ความชั่วทุกคนก็รังเกียจ แล้วเวลาที่เขาคิดถึงความชั่ว คิดถึงที่เขาทำไปเขาต้องฝังใจของเขา เพียงแต่ทิฐิว่าเขายอมหรือไม่ยอมเท่านั้นเอง

ฉะนั้นไม่ต้องคาดหวัง จะคาดหวังว่าคนโน้นจะมาเคารพศรัทธา คนนั้นจะมา นบนอบ นบนอบแล้วได้อะไร? คนมาเคารพนบนอบแล้วจะเป็นพระอรหันต์หรือ? คนมาเคารพนบนอบแล้วจะเหาะเหินเดินฟ้าได้ใช่ไหม? ไร้สาระ! ตัวเองยังเคารพนบนอบตัวเองไม่ได้เลย ตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย แล้วใครจะมาเคารพนบนอบ!

ถ้าตัวเองมันรู้จักตัวมันเองเห็นไหม มันรักษาตัวมันเอง สิ่งข้างนอกมันจะมีประโยชน์อะไร ไร้สาระทั้งนั้นเลย ตอนนี้คนเรามันติดโลกธรรมทั้งนั้นแหละ โลกธรรมเป็นโลกธรรมนะ เพราะเราอ่อนแอโลกธรรมมันถึงขี่คอเอา ถ้าเราเข้มแข็งนะ โลกธรรมเป็นธรรมะเก่าแก่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “ถ้าใครโดนแรงเสียดสีจากโลกธรรม ให้ดูเราเป็นตัวอย่าง” ท่านสมบุกสมบันกับเรื่องอย่างนี้มามาก ทั้งๆ ที่ท่านบริหารจัดการได้หมด ท่านจัดการได้ แต่ท่านจัดการความมืดบอดกิเลสหยาบๆ อย่างนั้น ท่านจัดการแล้วมันจะเป็นโทษกับเขา

ดูสิ ในสมัยพุทธกาล นางอะไรที่ว่าสวยมาก พ่อแม่บอกว่าให้ใครไม่ได้เลย จะให้ใครไม่ได้เลย ฉะนั้นรอนะ หวงมาก ธรรมดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปบิณฑบาตที่ไหน เดินไปจะไม่มีรอยเท้า วันนั้นพระองค์ท่านจะทรมานครอบครัวนี้ เดินบิณฑบาตไปทิ้งรอยเท้าไว้ ฉะนั้นเวลาพ่อแม่มาเห็นเข้า โอ้โฮ เจอแล้ว เจอลูกเขยแล้ว อยากจะเอาลูกสาวไปถวาย ตามไป แล้วกราบไปนิมนต์ก่อน สุดท้ายแล้วไปเอาลูกสาวมาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำนวณแล้วนะ เวลาเทศนาว่าการไปนะ ลูกสาวสวยขนาดไหนก็แล้วแต่ “เธอจะไม่ได้เห็นแม้แต่ฝุ่นจากปลายเท้าเลย” เพราะสิ่งนี้เป็นของโสโครกไง เพราะเขาถือว่าเขาสวยมาก ถือว่าเขานี่เลอเลิศมาก

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการเป็นอสุภะ เป็นสิ่งที่ว่าเป็นสิ่งปฏิกูลโสโครกต่างๆ ทำให้เขาเสียหน้ามาก เขามีความผูกโกรธ แต่พ่อแม่ที่หลงใหลในลูกของตัวเองว่าลูกของตัวเองมีศักยภาพขนาดไหน จะได้มียศถาบรรดาศักดิ์ จิตใจมันพลิกกลับ เป็นพระอนาคามีเดี๋ยวนั้นเลยนะ

๒ คนพ่อแม่ได้เป็นพระอนาคามี แต่ลูกสาวนี้ผูกอาฆาตมาดร้ายนะ เสร็จแล้วลูกสาวไปได้กับกษัตริย์ ก็จ้องทำลาย จ้างคนมาด่าต่างๆ นี่ไง ถ้าหัวใจพลิกขึ้นมาได้มันจะพลิกมา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาตรงนี้ เอาตรงที่พลิกใจเขาได้ คำว่า “พลิกใจเขาได้” เราจะเอาสิ่งใดไปถมเรื่องของความรู้สึก

ดูสิ เวลาคนเขาไม่พอใจสิ่งต่างๆ เราจะเอาอะไรไปถม ถมเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มหรอก ถมไปเถอะ ความรู้สึกมันจะถมที่ไหนเต็ม ดูสิ ถมที่ถมทางยังถมได้ง่ายกว่า นี่เราจะไปแคร์อะไรไปกับเขา มันไม่สนใจนะ เราไม่ต้องไปสนใจสิ่งนั้นเลย

แต่คำว่าไม่สนใจก็ไม่ได้ทำให้มันรุนแรงไปกว่านั้น เรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของกรรมเก่ากรรมใหม่นะ ถ้าเรามีเวรมีกรรมต่อกันมันก็จะมืดบอดกันไปอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีเวรมีกรรมต่อกัน แล้วเราสร้างคุณงามความดีของเราขึ้นมา ถ้าเขาพลิกแพลงของเขาขึ้นมามันก็เป็นของเขาไปได้ไง

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเอาครอบครัวนี้ ได้พ่อได้แม่ ได้ ๒ คน แต่ลูกสาวเป็นศัตรูกันไปตลอดเลย เพราะไปดูถูกความสวยงามของเขา ไปดูถูกแล้วมันก็เป็นการอาฆาตมาดร้าย นี่พูดถึงว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเผยแผ่ธรรม ท่านจะเอา ท่านจะพลิกแพลงใครได้บ้าง มีผลบวกและผลลบไง เวลาผลบวกได้พ่อได้แม่ ผลลบลูกสาวเป็นการผูกอาฆาตมาดร้ายกันไปตลอดชาติ

ทำคุณงามความดีมันจะสะอาดบริสุทธิ์ มันจะเป็นดีไปหมด เราคาดหมายกันเป็นวิทยาศาสตร์ไง ว่าคัดเลือกคัดแยกแล้วจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น นี่เป็นความรู้ความเห็นของเรานะ แต่ถ้าเราภาวนาของเราไป เราจะต้องเด็ดดีให้ได้ ความดีของเราต้องเด็ดขาดแต่ในทางที่ดี เห็นไหม เวทนามีสุขและทุกข์ ความกล้าหาญมันก็มีดีและชั่ว กล้าหาญนี่เป็นกลางๆ ถ้ากล้าหาญทางที่ดีมันก็เป็นประโยชน์ แต่มันกล้าหาญทำลายมันก็มีแต่โทษทั้งนั้นนะ

ความกล้าหาญมันต้องบวกด้วยดี ความเด็ดเดี่ยวของเรามันต้องบวกด้วยดี ฉะนั้นคนเรามันมีกิเลสใช่ไหม ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปได้เราทำของเราไปความผิดมันมีเป็นเรื่องธรรมดา นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด

เวลาเราเด็ดขาดเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เรื่องหยาบๆ เราก็เอาเต็มที่เลย เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันจะตกลงจากที่สูงต่างๆ ก็กลัวอีก เวลามันเป็นปัญญาขึ้นมาที่ละเอียดลึกซึ้ง ก็ยิ่งเข้าไม่ได้อีก กลัวจะผิดจะพลาด กลัวแล้วกอดไว้เลยนะ กอดความรู้สึกนึกคิดที่ว่าเป็นศรัทธานี่กอดเอาไว้ให้แน่นเลยนะ จิตมันจะละเอียดเข้าไปก็ละเอียดไม่ได้

นี่ไงความละเอียดลึกซึ้ง เวลาความเด็ดขาดของเรา เราต้องทำคุณงามความดีของเรา แล้วเวลาถึงที่สุดเราไม่ทิ้ง ยังไงเราก็เกาะความดีของเราไว้นี่แหละ ถึงที่สุดแล้วนะถ้ามันมีความรู้ที่แปลกประหลาดความรู้ที่ดีขึ้นมา เราก็เทียบเคียงว่ามันจริงหรือเปล่า เรามีสติตามเข้าไป ตามเข้าไป มันจะปล่อยวางสิ่งหยาบๆ นี้ไป ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะทำให้เราไม่พลัดพราก ไม่เสื่อม ไม่ทำให้เราเสียหาย

แต่ถ้าเราประมาทเลินเล่อ มันเสียหายไปหมด แล้วยิ่งไปกอดไว้มั่นไว้กับความรู้สึกนึกคิดอันเดิมๆ มันยิ่งทำให้เราเสียหายมากไปเรื่อยๆ มรรคหยาบๆ ความดีเล็กน้อยไง

ดูสิ คนเราเกิดมาจากอวิชชา จิตที่มันอีกาดำๆ แล้วก็กอดไว้ จิตเราดี จิตเราประเสริฐ แล้วมันจะแก้ไขอย่างไร ถ้าจิตเราดีก็โยนเข้ากองไฟเผาก่อน ให้มันแดงเหมือนเหล็ก จิตเราดีก็โยนเข้ากองไฟ เอาตบะธรรมเผาเลย พอเผามาเราจะขึ้นรูปอะไรล่ะ ตีเลย ตีขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราจะเอาภาชนะสิ่งใด

นี่ก็เหมือนกัน คุณงามความดีของเรา สิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่น เผาเลย..ให้มันเป็นจริงขึ้นมา ความดีเผาขนาดไหนมันยิ่งดีขึ้นมา เหล็กที่ว่าเผาแดงขึ้นมานะ ช่วยกันตีขึ้นมา เดี๋ยวจะเอารูปร่างอะไร จะเป็นมีดก็ได้ จะเป็นทั่งก็ได้ จะเป็นเข็มก็ได้ จะเอาอะไรก็ได้ เราช่วยกันตี ช่วยกันพิจารณา ช่วยกันแยกแยะ ช่วยกันว่าเราต้องการใช้อะไร

นี่ไง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นหมู่คณะมันก็มั่นคง ความดีกับความดีนะ ถ้าเราทำความดีต่อกันจะแยกไปกี่ปีๆ เราก็ระลึกถึงกัน แต่ถ้าเราทำสิ่งใดที่มันบาดหมางกัน อยู่ด้วยกันมันก็เหมือนห่างกัน อยู่ติดกันแต่จิตใจมันไม่ยอมรับ!

แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีต่อกันนะ มันอยู่คนละโลกเลยนะ ไปเกิดเป็นเทวดานะ มันยังคิดถึงมนุษย์ที่อยู่ในเมืองมนุษย์เลย ถ้าทำคุณงามความดีต่อกันมันจะห่างไกลขนาดไหน ไม่ต้องไปคิดหรอกว่าเขาจะไม่คิดถึงเรา ความดีคือความดี ทำแล้วก็คือทำ ความดีมันมีของมันตลอดไป แต่จะเอาความดีแล้วจะให้เป็นความดี ต้องประกาศไว้ว่าเป็นความดี ไม่ได้!

อำนาจวาสนานะ บารมีของคนมันเกิดจากตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำความดีมหาศาล ดูสิ เตมีย์ใบ้ เสียสละชีวิต เสียสละทุกอย่าง เขาจะเชือดเฉือนขนาดไหนนะ ขันติธรรม ขันติธรรม จิตใจมันได้ฝึกขนาดนั้น แล้วจิตใจของเราล่ะ เรามีขันติธรรมไหม เรามีความอดทนอะไรบ้าง เราไม่มีความอดทนอะไรเลย เวลากระทบเข้าก็ไปแล้ว อะไรกระทบเข้าก็ไปแล้ว กระทบเข้าไปแล้วทำไมเราไม่มีขันติธรรม

ขันติคือความอดทน อดทนสิ พออดทนมันผ่านพ้นไปนะ มันจะมีความภูมิใจ เราเคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาเยอะมาก เวลามันมีอะไรกระทบกระเทือนมา อดทนไว้เพราะปัญญาเราไม่ทัน แต่พอมันผ่านเหตุการณ์นั้นไปนะ มันภูมิใจมาก เพราะถ้าเรากระทบแล้วนะ มันจะแตกร้าวกันไป แล้วมันจะมีปัญหาไปเยอะมาก แล้วเราภาวนาอยู่ สิ่งที่ภาวนาอยู่มันก็ต้องมีเหตุกระทบกระเทือนมาก

แต่เพราะด้วยความขันติธรรมอันนั้น เวลาเหตุการณ์สิ่งนั้นผ่านพ้นไป ด้วยทางโลกเสียศักดิ์มากเพราะเขาเหยียบย่ำทำลาย แต่ด้วยทางธรรม เราชนะ แล้วพอเวลาเรากลับไปกุฏิ ไปทางจงกรม มันภูมิใจนะ มันภูมิใจว่าเราชนะ เราชนะเราเองนี่แหละ เพราะเราไม่หลุด

ถ้าเราหลุดไปแล้วนะ เพราะมีการเหยียบย่ำทำลายกัน มันหลุดออกไปแล้วมันก็เกิดความกระทบกระทั่ง หมู่คณะก็ต้องรับรู้กันไปหมดนะ แต่ถ้าเราอดทนของเรา อดทนของเรา สุดท้ายแล้วเขาจะคิดได้หรือเขาคิดไม่ได้ มันต้องเป็นกรรมของเขาแน่นอน เขาต้องระลึกอันนี้ที่เขาจงใจ ตั้งใจทำให้เราหลุดแล้วเราไม่หลุด โอ้โฮ เขาต้องคิดแน่นอน เขาว่าโอ้โฮ ทำไมมันไม่หลุด

พอเราไม่หลุดแล้วเรากลับไปทางจงกรม เราภูมิใจนะ เพราะถ้าหลุดออกไปแล้วมันกระเทือนหมู่คณะ มันไม่กระเทือนระหว่าง ๒ คน มันกระเทือนหมู่คณะไปหมดเลย เราผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาเยอะ เพราะสังคมเห็นไหม ลิ้นกับฟันมันต้องมีแน่นอน ไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่เรื่องกระทบกระทั่งกันมีทุกที่ แต่มีแล้วเราเอามาทำอะไรกับเรา เรามีสติยับยั้งไหม แต่ถ้าเราไม่มี ไม่ได้ภาวนาขึ้นมาเลย มันก็ต้องดวนกันอยู่แล้ว ใครจะยอมใคร

แต่นี่เราวางไว้หมดแล้วไง ถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้วเราถึงมาบวชไง เราบวชแล้วเราจะมาถอดกิเลสไง เราต้องเด็ดขาดสิ! ถ้าเราเด็ดดีของเรานะ เราจะมาถอดกิเลส ถอดเขี้ยวถอดเล็บเราวางไว้แล้ว เราถึงมาห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วพอห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว เราจะถอดเขี้ยวถอดเล็บ ถอดหนามในหัวใจของเรา เราจะทำอย่างไร ถ้าเราทำได้เห็นไหม ให้เด็ดสิ! เด็ดขาดมา! เด็ดดีๆ นี่ขอให้เด็ดมา!

ถ้าเด็ดดีมันจะเป็นประโยชน์กับเรา แล้วเราเองจะรับรู้ รสของอะไรจะเท่าซึ่งรสแห่งธรรม รสใดในโลกนี้เท่ากับรสของธรรมไม่มี ความสุข ความสงบ ความระงับ มันจะอยู่กับเรา แล้วเราจะรู้จริงของเรา แล้วอยู่ด้วยความสุข ด้วยความรื่นเริงนะ

ถ้าเราชำระกิเลสแล้วเราอยู่กับโลก เราก็รื่นเริงอาจหาญของเรา ชีวิตไม่อับเฉานะ ชีวิตเราอับเฉาเศร้าสร้อย หงอยเหงา กับชีวิตที่มันตื่นตัว มีคุณธรรมในหัวใจ เราเกิดมาเป็นชาวพุทธนะ แล้วได้บวชเป็นศากยบุตรด้วย

ถ้าหัวใจเรามีคุณธรรมนะ ศากยบุตรเป็นศาสนทายาท เราจะเป็นที่พึ่งของสังคม ให้เป็นที่พึ่งของตัวเองให้ได้ แล้วเป็นที่พึ่งของสังคม แม้แต่เป็นที่พึ่งของเทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหมดนะ จิตที่มันพ้นออกไป พ้นจากวัฏฏะ สามแดนโลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหม เขาอยู่ของเขา เขายังอยู่ในวัฏฏะนะ เขามีสิทธิเสมอเรา เวียนตายเวียนเกิดเหมือนกัน แต่เขาอยากจะหลุดพ้น เขาอยากให้คนที่มีหูมีตาชี้นำเขาด้วย

ฉะนั้นถ้าเราทำของเราได้นะ ศากบุตร ศาสนาจะมีคุณค่ามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมท่านดีใจมาก “อัญญาโกณฑัณญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ มีคนรู้กับเรา มีคนทำกับเรา”

เราเป็นศากยบุตรนะ เราจะต้องเด็ดขาด! เด็ดดี! เอาหัวใจเราเพื่อเป็นพยานกับเราก่อน ถ้าเป็นพยานกับเราแล้วนะ มันจะไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดเลย

หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลามีปัญหากับพระผู้ใหญ่นะ “เอ้า มีอะไรให้ถามมา มีอะไรให้ถามมา”

มีอะไรคือว่ามีความลังเลสงสัย มีความไม่เข้าใจในธรรม “ให้ถามมา ให้ถามมา”

ถ้าเราเป็นศากบุตรแล้วเราจะกล้าพูดคำนี้ แล้วให้ใครถามมาสิ มันไม่จบไม่สิ้นนะ ธรรมะในหัวใจของเรามันไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นเราต้องหา เราต้องทำให้เกิดขึ้นมา ให้เป็นคนเด็ดที่ดี เอวัง